ตีแยรี ดานีแยล อ็องรี (ฝรั่งเศส: Thierry Daniel Henry, ออกเสียง: [tj??i ???i]) เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1977 เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส โดยเล่นกับสโมสรสุดท้าย คือ นิวยอร์กเรดบูลส์ ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์
อ็องรีเกิดที่เมืองเลซูว์ลิส จังหวัดเอซอน (ชานเมืองของปารีส) เขาเล่นให้กับทีมท้องถิ่น เป็นเด็กหนุ่มที่แสดงความมั่นใจในฐานะดาวยิงประตู จนสโมสรฟุตบอลโมนาโกได้เห็นแววในปี ค.ศ. 1990 จนได้เซ็นสัญญาโดยทันที เขาลงแข่งเปิดตัวในฐานะนักฟุตบอลอาชีพในปี ค.ศ. 1994 มีฟอร์มการเล่นที่ดีจนทำให้ติดทีมชาติในปี ค.ศ. 1998 หลังจากที่เขาเซ็นสัญญากับทีมในเซเรียอา สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส ในฤดูกาลป้องกันตำแหน่งแชมป์ แต่ก็ผิดหวังไปในการเล่นตำแหน่งปีก ก่อนที่เขาจะเซ็นสัญญากับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ ในปี ค.ศ. 1999
ในการอยู่กับอาร์เซนอลทำให้อ็องรีมีชื่อเป็นนักฟุตบอลระดับโลก ถึงแม้ช่วงแรกยังคงต้องดิ้นรนในพรีเมียร์ลีก เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของอาร์เซนอลในแทบทุกฤดูกาลที่เขาอยู่ ภายใต้การเป็นผู้จัดการทีมอันยาวนานของอาร์แซน แวงแกร์ อ็องรีเป็นกองหน้าตัวเป้าที่ทำประตูมากมายและเป็นผู้นำทำประตูสูงสุดตลอดกาลของอาร์เซนอล กับจำนวนประตู 227 ในทุกการแข่งขัน เขาช่วยให้ทีมชนะเลิศในลีก 2 ครั้ง และถ้วยเอฟเอคัป 3 ครั้ง เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี 2 ครั้ง และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ 2 ครั้ง และนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ 3 ครั้ง อ็องรีเป็นกัปตันทีมอาร์เซนอลใน 2 ฤดูกาลสุดท้ายของเขา นำทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2006
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 หลังจากใช้เวลา 8 ปีกับอาร์เซนอล เขาย้ายมาอยู่สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร เกียรติประวัติแรกกับสโมสรฟุตบอลคะตะลันนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2009 เมื่อสโมสรได้ 3 แชมป์ โดยชนะในลาลีกา โกปาเดลเรย์ และแชมเปียนส์ลีก ทีมยังได้รางวัลเป็น 6 ถ้วยรางวัลโดยรวมถึงอีก 3 ถ้วยคือ ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ โดยรวมแล้วอ็องรีได้รับการเสนอชื่อทีมแห่งปีของยูฟ่า 5 ครั้ง ต่อมาในปี ค.ศ. 2010 เขาย้ายมาอยู่กับสโมสรฟุตบอลนิวยอร์กเรดบูลส์ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ นำทีมชนะในอีสเทิร์นคอนฟีเรนซ์ในปี ค.ศ. 2010 อาร์เซนอลได้ยืมตัวเขาในปี ค.ศ. 2012 เป็นเวลา 2 เดือน
ความสำเร็จในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส เขานำทีมชนะในฟุตบอลโลก 1998, ยูโร 2000, คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2003 เขาทำลายสถิติของมีแชล ปลาตีนีในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 กับสถิติเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของฝรั่งเศส อ็องรีเกษียณตัวเองจากทีมชาติหลังฟุตบอลโลก 2010 ส่วนเรื่องนอกสนามเขาเป็นโฆษกเรื่องการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติในกีฬาฟุตบอล อันเนื่องจากเคยมีประสบการณ์ถูกเหยียดสีผิวมาก่อน เขาแต่งงานกับนางแบบชาวอังกฤษ นิโคล เมอร์รี ในปี ค.ศ. 2003 มีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน แต่หย่าร้างในปี ค.ศ. 2007
อ็องรีมีเชื้อสายชาวเลสเซอร์แอนทิลลีส โดยบิดา อ็องตวน มาจากกัวเดอลุป เกาะลาเดซีราด ส่วนมารดา มารีเซ มาจากมาร์ตินีก เขาเกิดและโตในเมืองเลซูว์ลิส ชานเมืองของปารีส ถึงแม้ว่าจะเป็นย่านที่มีสังคมที่ไม่ดีนัก แต่ก็มีอุปกรณ์กีฬาฟุตบอลที่ดี ในวัย 7 ปี อ็องรีได้แสดงศักยภาพที่ดีเยี่ยม สะดุดตาโกลด เชแซล ได้ชวนเขาร่วมกับสโมสรท้องถิ่น เซโอเลซูว์ลิส (CO Les Ulis) พ่อของเขาได้บังคับให้เขาร่วมฝึก เหตุด้วยในวัยเด็กของเขาจะยังไม่สนใจกีฬาฟุตบอลนี้นัก เขาร่วมกับสโมสรอูว์แอ็สปาแลโซ (US Palaiseau) ในปี ค.ศ. 1989 แต่หลังจากนั้น 1 ปี พ่อของเขาก็มีความขัดแย้งกับสโมสร อ็องรีจึงย้ายมาอยู่ เออแอ็สวีรี-ชาตียง (ES Viry-Ch?tillon) อยู่กับสโมสรนี้นาน 2 ปี โดยมีผู้ฝึกสอนของอูว์แอ็สปาแลโซที่ชื่อ ฌ็อง-มารี ปันซา ได้ตามเขามาอยู่กับสโมสรนี้ด้วย
ในปี ค.ศ. 1990 โมนาโกได้ส่งแมวมอง อาร์โนลด์ แคทาลาโน มาดูอ็องรี ซึ่งขณะนั้นอายุ 13 ปี มาดูการเล่นของเขา อ็องรียิงได้ทั้งหมด 6 ประตู ทำให้ทีมชนะ 6–0 แคทาลาโนชวนเขามาอยู่โมนาโก โดยยังไม่ได้ทดลองการเล่นเลย แคทาลาโนร้องขอทางสถาบันแกร์ฟงแตนในการเรียนของอ็องรีให้ครบหลักสูตรการเรียน ถึงแม้ว่าผู้บริหารจะไม่เต็มใจนัก เพราะอ็องรีมีผลการเรียนไม่ดี แต่ท้ายสุดก็อนุญาตให้เขาจบหลักสูตรการเรียนและร่วมทีมเยาวชนของโมนาโกของอาร์แซน แวงแกร์ หลังจากนั้น อ็องรีเซ็นสัญญาอาชีพกับโมนาโก และเปิดตัวในฐานะนักฟุตบอลอาชีพเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1994 ในนัดที่แพ้นิส 2–0 ถึงแม้ว่าแวงแกร์จะคาดคะเนว่าอ็องรีอาจเป็นตัวนำทัพในฐานะกองหน้าตัวรุก แต่เขาก็ให้อ็องรีเล่นตำแหน่งปีกซ้าย เพราะเชื่อว่าฝีเท้าของเขา กับการควบคุมลูกบอลอย่างเป็นธรรมชาติและทักษะ จะทำให้มีประสิทธิภาพ ในตำแหน่งฟูลแบ็ก มากกว่าตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก
หลังจากเริ่มทดลองอาชีพในโมนาโก อ็องรีได้รับตำแหน่งนักฟุตบอลดาวรุ่งฝรั่งเศสยอดเยี่ยมปี ค.ศ. 1996 และในฤดูกาล 1996–97 ผลงานอันแสดงความแข็งแกร่งของเขาทำให้สโมสรชนะในลีกเอิง ในระหว่างฤดูกาล 1997–98 เขาเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำทีมเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สร้างสถิติใหม่ของฟุตบอลฝรั่งเศส โดยยิง 7 ประตูในการแข่งขันนี้ ในฤดูกาลที่ 3 ของเขา เขาได้ลงแข่งในฐานะนักฟุตบอลทีมชาตินัดแรก และเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ชนะในฟุตบอลโลก 1998 เขายังคงสร้างความประทับใจอย่างต่อเนื่องในระหว่างอยู่กับโมนาโก หลังจากอยู่กับสโมสรนี้ 5 ฤดูกาล ปีกวัยรุ่นคนนี้ยิงประตูในลีกได้ 20 ประตูจากการลงสนาม 105 นัด
อ็องรีออกจากโมนาโกในเดือนมกราคม ค.ศ. 1999 ย้ายไปอยู่กับสโมสรอิตาลีในเซเรียอา สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส ด้วยค่าตัว 10.5 ล้านปอนด์ เขาเล่นในตำแหน่งปีก แต่เขาก็ไม่สามารถฝ่าด่านกองหลังทีมเซเรียอา ในตำแหน่งที่ไม่ได้เป็นบุคลิกลักษณะสำหรับเขา โดยยิงได้เพียง 3 ประตู ในการลงสนาม 16 นัด
หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในอิตาลีนัก อ็องรีย้ายออกจากยูเวนตุสเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1999 มาอยู่กับสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลด้วยค่าตัวราว 11 ล้านปอนด์ กลับมาอยู่กับอดีตผู้จัดการทีมของเขาอีกครั้ง อาร์แซน แวงแกร์ เมื่ออยู่กับอาร์เซนอลทำให้ชื่อเขาติดอยู่ในนักฟุตบอลระดับโลก และถึงแม้ว่าการย้ายมาจะไม่ปราศจากข้อพิพาทซะทีเดียว เพราะแวงแกร์โน้มน้าวว่าอ็องรีคุ้มค่าแก่การมีค่าตัว และได้แทนที่เขากับศูนย์หน้าชาวฝรั่งเศส เพื่อนร่วมชาติ นีกอลา อาแนลกา โดยแวงแกร์ให้อ็องรีเป็นฝึกในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าโดยทันที การลงทุนของทีมก็เห็นผลในเวลาต่อมา แต่ก็มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถในการปรับเปลี่ยนความเร็วและลักษณะโดยธรรมชาติของฟุตบอลอังกฤษ เมื่อเขายิงประตูไม่ได้ใน 8 นัดแรก หลังจากความยากลำบากในหลายเกมในอังกฤษ อ็องรียอมรับว่า "เขาต้องเรียนใหม่เกี่ยวกับศิลปะการเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า" ข้อสงสัยเริ่มคลายลงไปเมื่อจบฤดูกาลแรกที่อาร์เซนอล โดยเขายิงประตูสร้างความประทับใจได้ 26 ประตู อาร์เซนอลอยู่อันดับ 2 ในฤดูกาลนั้นเป็นรองแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และแพ้ในยูฟ่าคัพ ต่อสโมสรตุรกี กาลาทาซาไร
หลังจากกลับมาพร้อมชัยชนะในยูโร 2000 กับทีมชาติฝรั่งเศส อ็องรีก็พร้อมที่จะสร้างผลกระทบในฤดูกาล 2000–01 ถึงแม้ว่าสถิติประตูและการช่วยส่งลูกยิงประตูจะน้อยกว่าในฤดูกาลแรก แต่ผลงานอ็องรีในฤดูกาลที่ 2 กับอาร์เซนอลก็พิสูจน์การแจ้งเกิดของเขา ทำให้เขากลายเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดของสโมสร ติดอยู่ในหนึ่งตัวเป้าที่ดีที่สุดในลีก ทำให้อาร์เซนอลเข้าใกล้คู่แข่งอันยาวนาน ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อย่างรวดเร็ว ในการเป็นผู้ชนะเลิศในลีก แต่อ็องรีก็ยังผิดหวัง เพราะจริง ๆ แล้ว เขายังไม่ได้นำทีมชนะในการแข่งขันในลีกนี้ และมักจะแสดงอารมณ์ความปรารถนาสร้างให้อาร์เซนอลเป็นมหาอำนาจ
ในที่สุดความสำเร็จก็มาถึงในฤดูกาล 2001–02 อาร์เซนอลเป็นแชมป์ในลีกโดยมีคะแนนเหนือลิเวอร์พูล 7 คะแนน และชนะเชลซี 2–0 ในเอฟเอคัปนัดตัดสิน อ็องรีเป็นผู้ยิงประตูในลีกสูงสุด และยิงได้ 32 ประตูในทุกการแข่งขัน ทำให้อาร์เซนอลชนะเลิศได้ทั้งในลีกและฟุตบอลถ้วย และเป็นถ้วยแรกของเขากับสโมสร มีความคาดหวังอย่างมากที่เขาจะมีฟอร์มการเล่นอย่างที่เล่นกับสโมสร ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 กับทีมชาติฝรั่งเศส แต่แล้วการป้องกันตำแหน่งแชมป์นี้ก็สร้างความตกตะลึงเมื่อฝรั่งเศสตกรอบตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม
ฤดูกาล 2002–03 ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่รุ่งเรืองของอ็องรี เขายิงประตูได้ 32 ประตูในทุกการแข่งขัน และจ่ายลูกยิงประตู 23 ประตู เป็นการกลับมาเล่นตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้า อันโดดเด่น เขานำอาร์เซนอลชนะในเอฟเอคัปอีกครั้ง (ซึ่งเขาได้เป็นผู้เล่นแห่งนัดในนัดตัดสิน) ถึงแม้ว่าอาร์เซนอลจะไม่ได้เป็นแชมป์ในพรีเมียร์ลีก แต่ตลอดทั้งฤดูกาล เขามีสถิติยิงประตูในลีกสูสีกับรืด ฟัน นิสเติลโรย แห่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่จบด้วยการยิงประตูน้อยกว่าฟัน นิสเติลโรย อย่างไรก็ตาม อ็องรีก็ได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอและนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษแห่งปี ความเฉิดฉายของเขาในฐานะหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก สามารถยืนยันได้จากการที่เขาเป็นรองชนะเลิศนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี ค.ศ. 2003
เมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2003–04 อาร์เซนอลมีความตั้งใจที่จะครองแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นอีกครั้งที่อ็องรีเป็นเครื่องมือในความสำเร็จอันดีเยี่ยมของอาร์เซนอล ร่วมด้วยกับเพื่อนร่วมทีมอย่างแด็นนิส แบร์คกัมป์, ปาทริค วิเอร่า และรอแบร์ ปีแร็ส อ็องรีทำให้แฟนปืนใหญ่มีความมั่นใจ โดยกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี ที่แข่งในลีกในฤดูกาลโดยไม่แพ้ทีมใดเลย (เรียกทีมชุดนี้ว่า ทีมไร้พ่าย) และได้ครองแชมป์ในลีกได้ นอกจากนั้นเขายังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอและนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ เป็นปีที่สอง อ็องรียังได้ที่ 2 ของรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี 2004 เขายิงประตู 39 ประตูในทุกการแข่งขัน เป็นผู้ทำประตูสูงสุดในลีกและได้รางวัลรองเท้าบูตทองคำแห่งยุโรป อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 2002 อ็องรีไม่สามารถนำทีมชาติชนะในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 ได้
ความสำเร็จก็ลดลงไปเมื่ออาร์เซนอลไม่สามารถป้องกันแชมป์ โดยเสียแชมป์ให้กับเชลซีในฤดูกาล 2004–05 ถึงแม้ว่าอาร์เซนอลจะชนะในเอฟเอคัป (โดยในนัดตัดสินอ็องรีไม่ได้ลงแข่งเนื่องจากบาดเจ็บอยู่) อ็องรียังครองชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในกองหน้าตัวเป้าที่น่ากลัวที่สุดในยุโรป โดยยิงประตูสูงสุดในลีก กับจำนวนประตู 31 ประตูในทุกการแข่งขัน เขาได้รับรางวัลรองเท้าบูตทองคำแห่งยุโรปร่วมกับเดียโก ฟอร์ลัน โดยเป็นนักฟุตบอลคนเดียวอย่างเป็นทางการที่ได้รางวัลนี้ 2 ครั้งติดต่อกัน (แอลลี แม็กคอยต์ได้รางวัลรองเท้าบูตทองคำ 2 ครั้งติดต่อกัน แต่ทั้งสองครั้งไม่ถือเป็นรางวัลอย่างเป็นทางการ) หลังจากนั้นปาทริค วิเอร่า เพื่อนร่วมชาติก็ออกจากทีมอย่างไม่คาดฝันในกลางปี ค.ศ. 2005 ทำให้อ็องรีได้เป็นกัปตันทีม ตำแหน่งที่หลายคนรู้สึกว่าไม่เหมาะกับเขา ซึ่งกัปตันทีมส่วนมากมักจะให้กับกองหลังหรือกองกลาง ที่มีตำแหน่งบนสนามดีกว่า ในการอ่านเกม เขาได้รับหน้าที่รับผิดชอบในการนำทีมวัยรุ่นที่ยังไม่ประสานกันดี
ฤดูกาล 2005–06 พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่น ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 2005 อ็องรีทำลายสถิติสโมสรโดยเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาล โดย 2 ประตูในนัดแข่งกับสปาร์ตาปรากในแชมเปียนส์ลีก โดยทำลายสถิติของเอียน ไรต์ ที่ทำไว้ 185 ประตู เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 เขายิง 1 ประตูในนัดพบกับเวสต์แฮมยูไนเต็ด ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูในลีกสูงสุดของอาร์เซนอล ทำลายสถิตินักฟุตบอลตำนานอย่างคลิฟฟ์ แบสติน อ็องรียิงประตูที่ 100 ในลีกที่สนามไฮเบอรี เป็นสถิติที่ไม่มีใครเทียบได้ในประวัติศาสตร์ของสโมสร และมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกของสโมสร โดยเมื่อจบฤดูกาล เขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดของลีก และเป็นครั้งที่ 3 ที่เขาได้รับลงคะแนนเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ
ถึงอย่างไรก็ตาม อาร์เซนอลไม่สามารถชนะในพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง แต่ก็มีความหวังในการคว้าถ้วยเมื่ออาร์เซนอลสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิสยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2006 แต่ท้ายสุดอาร์เซนอลก็แพ้ 2–1 ให้กับบาร์เซโลนา และอาร์เซนอลก็ไม่สามารถชนะในลีกได้เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน ประกอบกับผู้เล่นอ่อนประสบการณ์ของอาร์เซนอล เป็นเหตุพิจารณาให้อ็องรีย้ายออกสโมสร แต่อย่างไรก็ตามเขาออกมาประกาศว่าเขารักสโมสรและรับสัญญา 4 ปี และพูดว่าจะอยู่กับอาร์เซนอลตลอดชีพ ในเวลาต่อมา เดวิด ดีน รองประธานของอาร์เซนอล กล่าวว่าสโมสรได้ปฏิเสธการยื่นประมูลตัวอ็องรีจากสโมสรในสเปนเป็นจำนวนเงิน 50 ล้านปอนด์ก่อนที่จะเซ็นสัญญาใหม่กับเขา ซึ่งหากสโมสรตกลงจะเป็นการทำลายสถิติค่าตัวของซีเนดีน ซีดานกับจำนวนเงิน 47 ล้านปอนด์
ในฤดูกาล 2006–07 อ็องรีบาดเจ็บ แต่ก็ยังสามารถยิงประตู 10 ประตูในการลงแข่ง 17 นัดให้กับอาร์เซนอล แต่ฤดูกาลของเขาก็จบลงในเดือนกุมภาพันธ์ เขาไม่สามารถลงแข่งได้เนื่องจากปัญหาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย ส่วนเท้าและหลัง และคาดว่าจะฟิตพอที่จะลงเป็นตัวสำรองได้ในการแข่งกับเพยัสเฟไอนด์โฮเวน (ดัตช์: PSV Eindhoven) ในการแข่งแชมเปียนส์ลีก แต่ก็ต้องเดินโขยกเขยกหลังลงเล่นได้ไม่นาน ผลการสแกนพบว่าเขาต้องพักอย่างน้อย 3 เดือนเพื่อรักษาบริเวณขาหนีบและท้อง ทำให้เขาต้องพักในเวลาที่เหลือของฤดูกาล 2006–07 แวงแกร์ กล่าวเมื่อเขาบาดเจ็บว่า อ็องรียังมีความสนใจที่จะอยู่กับอาร์เซนอลเพื่อสร้างทีมใหม่ในฤดูกาล 2007–08
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2007 เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น อ็องรีย้ายไปอยู่กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร โดยเซ็นสัญญา 4 ปี ได้รับค่าเหนื่อย 6.8 ล้านยูโร (4.6 ล้านปอนด์) ต่อฤดูกาล ในสัญญาระบุค่าฉีกสัญญาเก่า 125 ล้านยูโร (84.9 ล้านปอนด์) อ็องรีอ้างเหตุผล หลังจากที่ดีนได้ออกจากอาร์เซนอลและความไม่แน่นอนของอนาคตแวงแกร์ที่จะคุมทีม แต่พูดต่อว่า "ผมพูดอยู่เสมอว่าถ้าผมจะออกจากอาร์เซนอล จะเล่นให้กับบาร์เซโลนา" ถึงแม้ว่ากัปตันคนนี้จะออกจากทีมไป แต่อาร์เซนอลก็ยังคงสร้างความประทับใจได้ในฤดูกาล 2007–08 อ็องรีก็ยอมรับว่า การอยู่ร่วมทีมของเขาอาจเป็นสิ่งกีดขวางการช่วยเหลือทีม เขากล่าวว่า "เพราะความอาวุโสของผม กับความเป็นจริงที่ผมเป็นกัปตันทีมและงานที่ต้องไล่ลูกบอล พวกเขาก็มักจะให้ตำแหน่งนี้ที่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีที่สุดของผม จะเป็นการดีสำหรับทีมถ้าผมออกไป" อ็องรีออกจากอาร์เซนอลในฐานะผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสร กับจำนวนประตู 174 ประตู และเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขันฟุตบอลยุโรป โดยยิงได้ 42 ประตู ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 แฟนอาร์เซนอลลงคะแนนให้เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่มีมาของอาร์เซนอล ในแบบสำรวจผู้เล่นที่ดีที่สุดของชาวกันเนอส์ ในเว็บไซต์ อาร์เซนอล.คอม
กับบาร์เซโลนา อ็องรีสวมเสื้อหมายเลข 14 หมายเลขเดียวกับครั้งเมื่ออยู่กับอาร์เซนอล เขายิงประตูแรกให้กับสโมสรใหม่เมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2007 นัดชนะลียง 3–0 ในแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม หลังจากนั้น 10 วัน เขายิงแฮตทริกแรกให้กับบาร์ซาในลีก นัดแข่งกับเลบันเต แต่อ็องรีก็เปลี่ยนมาเล่นปีกตลอดทั้งฤดูกาล เขาไม่สามารถยิงประตูได้เหมือนที่ประสบความสำเร็จกับอาร์เซนอล เขาแสดงความผิดหวังในการย้ายมาบาร์เซโลนาในปีแรก ๆ ท่ามกลางข่าวที่แพร่สะพัดว่าเขาจะกลับมาเล่นพรีเมียร์ลีก แต่ท้ายสุดเมื่อจบฤดูกาลแรกของเขา เขาก็เป็นผู้ยิงประตูสูงสุด จำนวน 19 ประตูและช่วยส่งลูกยิงประตู 9 ประตูในลีก
อ็องรียิงประตูมากขึ้นในฤดูกาล 2008–09 ได้ถ้วยแรกกับบาร์เซโลนาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 เมื่อบาร์เซโลนาชนะแอทเลติกบิลบาโอในนัดตัดสินของโกปาเดลเรย์ บาร์เซโลนายังเป็นผู้ชนะในลีกและแชมเปียนส์ลีกหลังจากนั้น ได้ 3 ถ้วยในฤดูกาลเดียว เมื่อรวมกับผลงานยิงประตูของเขากับเลียวเนล เมสซีและซามูแอล เอโตแล้ว มีประตูรวมถึง 100 ประตูในฤดูกาลนั้น ทั้ง 3 คนสามารถทำสถิติยิงประตูในลีก 72 ประตู แซงหน้าสถิติเดิมของเรอัลมาดริด 66 ประตูของเฟเรนส์ ปุชคัช, อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน และลุยส์ เดล ซอล ในฤดูกาล 1960–61 และต่อมาในปี ค.ศ. 2009 อ็องรีช่วยให้บาร์เซโลนาชนะได้ถ้วยเพิ่มเป็น 6 ถ้วย รวมกับถ้วยที่กล่าวมาตอนต้นกับถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปาญา, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ
ในฤดูกาลถัดมาเมื่อเปโดร โรดรีเกซแจ้งเกิด ทำให้อ็องรีได้ลงสนามในลีกเพียง 15 นัด ก่อนฤดูกาลในลาลีกาจะจบลง และอีกไม่ถึงปีก่อนสัญญาจะหมด ประธานสโมสร ชูอัน ลาปอร์ตา กล่าวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 ว่า "อ็องรีอาจออกจากสโมสรในช่วงการซื้อขายนักเตะช่วงฤดูร้อน ถ้าหากเป็นสิ่งที่อ็องรีต้องการ" หลังอ็องรีกลับมาจากการแข่งฟุตบอลโลก 2010 บาร์เซโลนายืนยันในการขายอ็องรีให้กับสโมสรแห่งหนึ่ง ซึ่งอ็องรียอมรับเงื่อนไขของสโมสรใหม่นี้
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 อ็องรีเซ็นสัญญาหลายปีกับสโมสรนิวยอร์ก เรดบูลส์ ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ในฤดูกาล 2010 เป็นนักฟุตบอลคนที่ 2 เมื่อเริ่มมีกฎผู้เล่นแต่งตั้ง เขาลงแข่งครั้งแรกในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ในการแข่งขันเสมอกับฮิวสตัน ไดนาโม 2–2 โดยเป็นผู้ช่วยส่งลูกทำประตูให้ควน ปาโบล อังเคล ทั้ง 2 ลูก ส่วนประตูลูกแรกในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ในชัยชนะเหนือแซนโฮเซ เอิร์ทเควกส์ 2–0 ท้ายสุดเรดบูลส์ ติดอันดับ 1 ของฝั่งตะวันออก โดยมีคะแนนนำโคลัมบัส ครูว์ 1 คะแนน แต่พ่ายให้กับแซนโฮเซ เอิร์ทเควกส์ ในผลรวมคะแนน 3–2 รอบก่อนชิงชนะเลิศของถ้วยเอ็มแอลเอสเพลย์ออฟส์ 2010 ฤดูกาลถัดมาเรดบูลส์ ติดอันดับ 10 ในลีก และเข้ารอบรองชนะเลิศ ของถ้วยเอ็มแอลเอสเพลย์ออฟส์ 2011
หลังจากได้ร่วมฝึกซ้อมกับอาร์เซนอลในระหว่างปิดฤดูกาลของเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ อ็องรีได้เซ็นสัญญาอีกครั้งในสัญญายืมตัวกับอาร์เซนอลเป็นเวลา 2 เดือน เมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2012 เพื่อทดแทนในช่วงที่แฌร์วินโยและมารูยาน ชามัคห์ ที่ต้องไปแข่งขันในแอฟริกาคัพออฟเนชันส์ 2012 อ็องรีลงแข่งนัดแรกเป็นครั้งที่ 2 กับอาร์เซนอลในการเปลี่ยนตัวของการแข่งขันเอฟเอคัป รอบที่ 3 แข่งขันกับสโมสรฟุตบอลลีดส์ยูไนเต็ด โดยเขายิงประตูในนัดที่ทีมชนะเพียงประตูเดียวนี้ ต่อมาวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เขายิงประตูแรกในลีกหลังจากการกลับมา ในนัดแข่งกับสโมสรฟุตบอลแบล็กแบร์นโรเวอส์ ทีมชนะ 7–1 ในสัปดาห์ต่อมา ในนัดสุดท้ายในลีก เขายิงประตู ทำให้ทีมชนะซันเดอร์แลนด์ 2–1 สัญญายืมตัวหมดลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 และอ็องรีกลับสู่เรดบูลส์
อ็องรีประสบความสำเร็จในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส โดยลงแข่ง 123 นัด เริ่มลงนัดแรกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1997 เมื่อเขามีฟอร์มการเล่นดีให้กับโมนาโก ทำให้เขาถูกเรียกตัวเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศสรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี เขาลงแข่งในฟุตบอลโลกเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี ค.ศ. 1997 ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมในอนาคตของเขาอย่างวีลียาม กาลัส และดาวิด เตรเซแก และภายใน 4 เดือน หัวหน้าโค้ชชาวฝรั่งเศส แอเม ฌาเก เรียกตัวอ็องรีเข้าเล่นกับทีมรุ่นใหญ่ เขาลงแข่งเปิดตัวนัดแรกในฐานะทีมรุ่นใหญ่เมื่ออายุ 20 ปี เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1997 โดยชนะแอฟริกาใต้ 2–1 ฌาเกประทับใจในตัวอ็องรี โดยยังให้เขาลงเล่นในฟุตบอลโลก 1998 ถึงแม้ว่า ณ ตอนนั้นอ็องรียังไม่เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติอย่างกว้างขวาง แต่เมื่อจบการแข่งขัน เขาเป็นผู้เล่นฝรั่งเศสที่ทำประตูสูงสุด คือยิงได้ 3 ประตู ในนัดตัดสินที่ฝรั่งเศสชนะบราซิล 3–0 ทีมมีแผนว่าจะให้เขาลงในฐานะตัวสำรอง แต่เนื่องจากมาร์แซล เดอซาลีถูกใบแดง จึงจำเป็นต้องเสริมเกมรับแทน ในปี ค.ศ. 1998 อ็องรีได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นสูงสุดของฝรั่งเศส
อ็องรียังติดอยู่ในทีมชุดยูโร 2000 ของฝรั่งเศส เป็นอีกครั้งที่เขายิงได้ 3 ประตูในการแข่งขัน เมื่อจบแล้วเขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดของทีมชาติฝรั่งเศส รวมถึงประตูที่เขายิงประตูเสมอในนัดแข่งกับโปรตุเกสในรอบรองชนะเลิศ ท้ายสุดฝรั่งเศสชนะโปรตุเกสในการต่อเวลาพิเศษ โดยซีเนดีน ซีดานยิงจุดโทษ ฝรั่งเศสแข่งนัดตัดสินกับอิตาลี และสามารถชนะได้ในการต่อเวลาพิเศษ ทำให้อ็องรีได้เหรียญทองเป็นเหรียญที่สองในฐานะทีมชาติ ในระหว่างการแข่งขันครั้งนี้ อ็องรีได้รับลงคะแนนเสียงเป็น ผู้เล่นแห่งนัด 3 นัด รวมถึงในนัดตัดสินที่แข่งกับอิตาลีด้วย
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ฝรั่งเศสตกรอบไปอย่างรวดเร็วในรอบแบ่งกลุ่ม อ็องรีไม่สามารถยิงประตูได้ในการแข่งทั้ง 3 นัด ฝรั่งเศสแพ้ในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม และอ็องรีก็ได้ใบแดงไปในการไถลตัวอันตราย ในอีกนัดที่แข่งกับอุรุกวัย ในเกมนี้ฝรั่งเศสเสมอ 0–0 ทำให้อ็องรีไม่สามารถลงแข่งในนัดสุดท้าย ที่ฝรั่งเศสแพ้เดนมาร์ก 2–0
อ็องรีเรียกฟอร์มกลับคืนให้กับทีมชาติได้อีกครั้งในคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2003 ถึงแม้ว่าทีมจะไม่มีผู้นำทีมอย่าง ซีดานและปาทริค วิเอร่า ฝรั่งเศสก็สามารถชนะการแข่งขันนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการเล่นอันโดดเด่นของอ็องรี เขาได้เป็นผู้เล่นแห่งนัดจากกลุ่มการศึกษาทางเทคนิคของฟีฟ่า จาก 3 ใน 5 นัด ในนัดตัดสินเขายิงประตูชัยในการต่อเวลาพิเศษ ทำให้ทีมเจ้าภาพนี้ชนะเหนือแคเมอรูน อ็องรีได้รับรางวัลลูกบอลทองคำ ในฐานะผู้เล่นที่โดดเด่นของการแข่งขันและได้รางวัลรองเท้าทองคำในฐานะผู้เล่นที่ยิงประตูสูงสุด คือยิงได้ 4 ประตู
ในฟุตบอลยูโร 2004 อ็องรีได้ลงเล่นทุกนัดให้กับฝรั่งเศส เขายิงได้ 2 ประตู ฝรั่งเศสชนะอังกฤษในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ท้ายสุด แพ้ด้วยประตู 1–0 ให้กับกรีซ ทีมแชมป์ของการแข่งขันนี้ ในรอบก่อนชิงชนะเลิศ ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 อ็องรียังคงเป็นหนึ่งในทีม เขาเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าเพียงผู้เดียว แต่ถึงแม้ว่าฝรั่งเศสจะเริ่มต้นไม่ค่อยดีนัก แต่ท้ายสุดเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของฟุตบอลโลกครั้งนี้ เขายิงได้ 3 ประตู รวมถึงประตูชัยจากลูกฟรีคิกของซีดานในการแข่งกับแชมป์เก่า บราซิล อย่างไรก็ดี ฝรั่งเศสก็แพ้ให้กับอิตาลีในการดวลจุดโทษ (5–3) ในนัดตัดสิน อ็องรีไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ยิงจุดโทษนี้ เขาถูกเปลี่ยนตัวในการต่อเวลาพิเศษ หลังจากที่เป็นตะคริวที่ขา อ็องรีติดอยู่ใน 1 ใน 10 ของรางวัลลูกบอลทองคำสาขาผู้เล่นแห่งการแข่งขันครั้งนี้ แต่ผู้ได้รางวัลคือเพื่อนร่วมทีม ซีดาน และเขาติดอยู่ในผู้เล่นกองหน้าตัวเป้าของทีมฟิฟโปรเวิลด์ XI ปี 2006
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2007 อ็องรียิงประตูที่ 41 ในนัดแข่งกับหมู่เกาะแฟโร ทำให้เขามีสถิติร่วมกับมีแชล ปลาตีนีในฐานะผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของฝรั่งเศส หลังจากนั้น 4 วันที่สนามสตาดเดอลาโบฌัวร์ เขายิงอีก 2 ประตูในท้ายนัดที่แข่งกับลิทัวเนีย และสร้างสถิติใหม่ในฐานะผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของฝรั่งเศส ในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2008 อ็องรีลงแข่งในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติเป็นนัดที่ 100 ในนัดแข่งกับโคลอมเบีย ถือเป็นนักฟุตบอลฝรั่งเศสคนที่ 6 ที่ลงเล่นทีมชาติผ่าน 100 นัด
ทีมชาติฝรั่งเศสพยายามดิ้นรนต่อสู้ในการแข่งขันขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 และจบลงด้วยการเป็นที่ 2 ของกลุ่มตามหลังเซอร์เบีย และในการแข่งขันรอบเพลย์ออฟกับไอร์แลนด์ อ็องรีมีส่วนเกี่ยวข้อกับกรณีพิพาทในนัดที่ 2 ของเกมที่แข่งขันที่สตาดเดอฟร็องส์ ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 ในขณะที่นั้นผลประตูรวมเสมอ 1–1 เมื่อมาถึงการต่อเวลาพิเศษ เขาใช้มือปัดเพื่อควบคุมลูกบอลก่อนที่จะส่งลูกข้ามผ่านไปยังวีลียาม กาลัส ยิงลูกเข้าประตูจนได้ชัยชนะ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ต่อต้านอ็องรี ขณะที่ผู้จัดการทีมชาติฝรั่งเศส แรมง ดอแมแน็ก และผู้จัดการทีมอาร์เซนอล อาร์แซน แวงแกร์ ออกมาปกป้องเขาสมาคมฟุตบอลไอร์แลนด์แสดงความไม่พอใจกับฟีฟ่า โดยร้องขอให้มีการแข่งขันใหม่ แต่ฟีฟ่าปฏิเสธไป อ็องรีออกมาพูดว่า เขาได้พิจารณาการเกษียณตัวเองออกจากการเล่นทีมชาติหลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ยังคงแสดงเจตนารมณ์ว่าเขาไม่ได้โกง โดยกล่าวหลังจากที่ฟีฟ่าปฏิเสธการแข่งขันใหม่ไม่กี่ชั่วโมง และเขากล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาที่ยุติธรรมที่สุดควรเป็นการแข่งขันใหม่ ประธานฟีฟ่า เซปป์ บลัตแตร์ (Sepp Blatter) กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า "เป็นการเล่นที่ยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัด" และประกาศว่าจะมีการสอบสวนว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคตได้อย่างไร และยังกล่าวต่อว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะตรวจสอบโดยคณะกรรมการด้านวินัย บลัตแตร์ยังบอกว่าอ็องรีบอกเขาว่า ครอบครัวของเขาถูกคุกคามหลังจากเกิดเหตุครั้งนี้ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 ฟีฟ่าประกาศว่า อ็องรีไม่มีความผิดใด
อ็องรีไม่ได้ลงแข่งในชุดทีมชาติฝรั่งเศส ในฟุตบอลโลก 2010 แต่เริ่มแรก ฝรั่งเศสแข่งขันนัดแรกโดยเสมอกับอุรุกวัย แต่พ่าย 2–0 ให้กับเม็กซิโกในนัดที่ 2 และทีมอยู่ในความสับสนวุ่นวายเมื่อนีกอลา อาแนลกาถูกไล่ออกจากทีม และกัปตันทีม ปาทริส เอวรา นำทีมต่อต้านโดยปฏิเสธการขึ้นรถไฟ ในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ อ็องรีลงแข่งในฐานะตัวสำรองในครึ่งหลัง ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ 2–1 และตกรอบไป ไม่นานนักเขาก็ประกาศเกษียณจากการเล่นฟุตบอลทีมชาติ โดยเขาลงแข่งขึ้นให้กับทีมชาติ 123 นัด และยิงประตู 51 ประตู
ถึงแม้ว่าอ็องรีจะเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าตั้งแต่ครั้งอยู่ในชุดเยาวชน แต่เมื่อเขาอยู่กับโมนาโกและยูเวนตุส เขาก็ได้เล่นในตำแหน่งปีก จนเมื่ออ็องรีเข้ามาอยู่กับอาร์เซนอลในปี ค.ศ. 1999 แวงแกร์ก็ได้เปลี่ยนตำแหน่งการเล่นเขาทันที โดยเปลี่ยนมาเล่นในตำแหน่งที่เขาเคยเล่นสมัยเยาวชน โดยจะเล่นคู่กับเพื่อนร่วมทีมชาวดัตช์ที่มากประสบการณ์อย่าง แด็นนิส แบร์คกัมป์ ในฤดูกาล 2004–05 แวงแกร์เปลี่ยนรูปแบบการเล่นของอาร์เซนอลมาเป็น 4–5–1 การเปลี่ยนรูปแบบการเล่นนี้ทำให้อ็องรีต้องปรับตัวอีกครั้ง มีหลายเกมที่เขาเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าคนเดียว อ็องรียังคงเป็นผู้เล่นแนวรุกที่สำคัญของอาร์เซนอล มีหลายครั้งสามารถยิงประตูได้น่าตื่นเต้นดุจดั่งเวทมนตร์ แวรแกร์เคยพูดถึงเขาไว้ว่า "ตีแยรี อ็องรี สามารถที่จะนำพอลได้จากกลางสนามและสามารถยิงประตูที่ไม่มีใครในโลกสามารถยิงได้"
หนึ่งในเหตุผลที่เขาได้รับการชมเชยในการเล่นอันน่าประทับใจในการเล่นกองหน้านั้น คือความสามารถที่ยิงประตูแบบหนึ่งต่อหนึ่งได้อย่างใจเย็น นี่รวมถึงความยอดเยี่ยมของฝีเท้า ที่เขาสามารถเลี้ยงลูกฝ่ากองหลังเข้าทำประตูได้เป็นประจำ เมื่อเริ่มเล่น เขาเป็นที่รู้จักในด้านการเคลื่อนตัวไปทางแนวกว้างไปในตำแหน่งปีกซ้าย จากนั้นเขาก็สามารถเป็นผู้จ่ายบอลได้มากมาย โดยในระหว่างฤดูกาล 2002–03 และ 2004–05 เขาเป็นผู้จ่ายบอลยิงประตูได้ 50 ลูก แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างและความคิดสร้างสรรค์ในการเล่นของเขา อีกรูปแบบการเล่นของเขา อ็องรีดันตัวเองมาอยู่ ณ ตำแหน่งล้ำหน้าเพื่อหลอกกองหลัง จากนั้นก็วิ่งถอยไปให้อยู่ในตำแหน่งไม่ล้ำหน้า ก่อนที่จะเล่นลูก และทำลายกับดักล้ำหน้าของทีมคู่แข่ง ความหลากหลายในการเล่นทั้งในตำแหน่งปีกและกองหน้าตัวเป้า เขาไม่ใช่นักฟุตบอลที่เดาทางถูกได้ง่าย เขาเป็นกองหน้าตัวเป้าอย่างแท้จริง เขายังเป็นกองหน้าที่ยิงลูกได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอย่างสม่ำเสมอของยุโรป อ็องรีเป็นตัวเลือกแรกในการยิงลูกโทษ การเตะลูกเซตพีซ และการเตะลูกฟรีคิกของอาร์เซนอลเสมอ โดยเขายังสามารถยิงประตูได้อย่างสม่ำเสมออีกด้วย
อ็องรีได้รับการยกย่องและรางวัลในอาชีพการเล่นฟุตบอลหลากหลายรางวัล เขาได้ตำแหน่งรองชนะเลิศนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี 2003 และ 2004 ใน 2 ฤดูกาลนี้เขายังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ อ็องรียังเป็นนักฟุตบอลคนเดียวที่เคยได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ 3 ปี (2003, 2004, 2006) และยังถือสถิติได้รางวัลนักฟุตบอลฝรั่งเศสแห่งปี 4 ครั้ง เขายังได้รับลงคะแนนเสียงทีมแห่งทศวรรษประเภททีมโพ้นทะเล ในการสำรวจจาก 10 ฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก ในปี ค.ศ. 2003 และในปี ค.ศ. 2004 เขายังติดรายชื่อนักฟุตบอล 125 คน ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ดีที่สุดของเปเล่
ในด้านรางวัลการยิงประตู อ็องรีได้รางวัลรองเท้าบูตทองคำยุโรปในปี ค.ศ. 2004 และ 2005 (ได้รางวัลร่วมกับเดียโก ฟอร์ลัน แห่งสโมสรฟุตบอลบียาร์เรอัล ในปี ค.ศ. 2005) อ็องรียังถือสถิติ เป็นผู้ยิงประตูสูงสุดในพรีเมียร์ลีก 4 ฤดูกาล (2002, 2004, 2005, 2006) ในปี ค.ศ. 2006 เขาเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงประตูได้มากกว่า 20 ประตูใน 5 ฤดูกาลติดต่อกัน (ตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ถึง 2006) เขายังคงถือสถิติเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก อันดับที่ 3 เป็นรองเพียงอลัน เชียเรอร์และแอนดี โคล เขาเป็นชาวฝรั่งเศสที่ยิงประตูสูงสุดตลอดกาล และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก จากโค้ช นักฟุตบอล และผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอล ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เขาติดอยู่อันดับ 33 ของการจัดอันดับนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยมีมา โดยสถาบันนักสถิติฟุตบอล แฟนฟุตบอลอาร์เซนอลยกย่องเขาในปี ค.ศ. 2008 โดยประกาศให้เป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอาร์เซนอล นอกจากนี้ในการสำรวจในปี ค.ศ. 2008 เขาติดอยู่ในรายชื่อผู้เล่นที่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดในพรีเมียร์ลีกตลอดกาล จากการสำรวจคน 32,000 คน ในปี ค.ศ. 2009 อ็องรีได้รับลงคะแนนเสียงว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกในคริสต์ทศวรรษ 2000 และเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 อาร์เซนอลเปิดตัวรูปปั้นทำจากบรอนซ์ ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเฉลิมฉลองครบรอบ 125 ปีของอาร์เซนอล
A รวมถึงการลงแข่งในนัดฟีฟ่า XI เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 2000 ที่ฟีฟ่าและสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศสนับว่าเป็นการแข่งขันกระชับมิตรอย่างเป็นทางการ
ตีแยรี อ็องรี ได้ประกาศยุติการเล่นฟุตบอลเป็นการถาวรเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ด้วยวัย 37 ปี โดยจะผันตัวเองไปเป็นผู้บรรยายและวิเคราะห์ฟุตบอลทางสถานีโทรทัศน์สกายสปอร์ตส์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แทน โดยเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2015–16 เป็นต้นไป โดยทำสถิติยิงประตูให้กับอาร์เซนอลไปทั้งสิ้น 175 ประตู เฉพาะในพรีเมียร์ลีก นับเป็นสถิติอันดับหนึ่งของสโมสร และเป็นอันดับที่ 4 ของพรีเมียร์ลีก
อ็องรีสมรสกับนางแบบชาวอังกฤษ นิโคล เมร์รี หรือชื่อจริงคือ แคลร์ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 พิธีสมรสจัดขึ้นที่ปราสาทไฮแคลร์ และในวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ทั้งคู่มีบุตรคนแรก ชื่อ ตีอา อ็องรีอุทิศการยิงประตูแรกหลังที่ตีอาเกิดโดยทำนิ้วรูปตัว "ที" และจูบนิ้วนั้น หลังจากที่ยิงในนัดที่แข่งกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ด เมื่อตอนที่อ็องรีอยู่กับอาร์เซนอล เขาได้ซื้อบ้านที่แฮมป์สเตด ในนอร์ทลอนดอน อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากย้ายไปบาร์เซโลนา เขาประกาศหย่ากับภรรยา โดยมีคำสั่งศาลให้หย่าเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 การแยกทางจบลงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 เมื่ออ็องรีจ่ายเงินสำหรับการหย่าที่เมอร์รีเรียกร้อง รวมเป็นเงิน 10 ล้านปอนด์
อ็องรียังเป็นแฟนบาสเกตบอลในเอ็นบีเอ เขากับเพื่อน โทนี พาร์กเกอร์มักไปดูการแข่งขันในยามที่เขาไม่ได้แข่งขันฟุตบอล อ็องรีให้สัมภาษณ์ว่าเขาชื่นชอบบาสเกตบอล ที่คล้ายกับฟุตบอลเรื่องการวิ่งและความตื่นเต้น ที่ผ่านมาเขามักไปดูเอ็นบีเอนัดตัดสินเป็นประจำ โดยเคยไปดูพาร์กเกอร์แข่งให้กับทีมซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ ในนัดตัดสินเอ็นบีเอ 2007 และในนัดตัดสินเอ็นบีเอ 2001 เขาเดินทางไปฟิลาเดลเฟียเพื่อช่วยรายการโทรทัศน์ฝรั่งเศสทำรายการนัดตัดสิน และเพื่อดูอัลเลน ไอเวอร์สัน ที่เขาเคยบอกว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เขาชื่นชอบ
อ็องรีเป็นสมาชิกของยูนิเซฟ-ฟีฟ่า รวมนักฟุตบอลอาชีพ เขาปรากฏตัวในโฆษณาทางโทรทัศน์หลายตัว มีผู้ชมมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก ในช่วงระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 และ 2006 โดยในโฆษณา ผู้เล่นจะประชาสัมพันธ์การเล่นฟุตบอลให้กับเด็ก ๆ
เขาเกี่ยวข้องกับประเด็นการเหยียดสีผิวตั้งแต่ในอดีต อ็องรีเป็นโฆษกต่อต้านการเหยียดสีผิวในฟุตบอล กรณีอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับอ็องรีเช่น ในระหว่างการฝึกซ้อมกับฟุตบอลทีมชาติสเปนในปี ค.ศ. 2004 เมื่อทีมงานโทรทัศน์ของสเปนจับภาพของโค้ช ลุยส์ อาราโกเนส ที่พูดถึงอ็องรีกับโคเซ อันโตเนียว เรเยส ว่าเป็น "สวะคนดำ" (black shit) ซึ่งเรเยสเป็นเพื่อนร่วมทีมของอ็องรีที่อาร์เซนอล เหตุการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายกับสื่ออังกฤษ และเรียกร้องให้ไล่อาราโกเนสออก อ็องรีได้ร่วมกับไนกี้ ในโครงการสแตนด์อัป สปีกอัป เพื่อต่อต้านการเหยียดสีผิวในฟุตบอล หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ต่อมาในปี ค.ศ. 2007 นิตยสาร ไทม์ ให้เขาเป็นหนึ่งใน ไทม์ 100 วีรบุรุษและนักบุกเบิก
เขาร่วมกับนักฟุตบอลอีก 45 คนเพื่อร้องเพลง "Live for Love United" ที่จัดขึ้นโดยฟีฟ่า ในปี ค.ศ. 2002 ออกขายเป็นซิงเกิ้ลในช่วงฟุตบอลโลก 2002 เป็นซิงเกิ้ลการกุศลที่รายได้เข้าสู่การวิจัยโรคเอดส์ อ็องรียังสนับสนุนมูลนิธิโรคซีสติกไฟโบรซีส และซีสติกไฟโบรซีสทรัส อีกด้วย
ในปี ค.ศ. 2006 อ็องรีติดอยู่ในอันดับ 9 ของนักฟุตบอล ผู้ทำรายได้จากสินค้ามากที่สุดในโลก เป็นผู้ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 8 ในพรีเมียร์ลีก กับรายได้ 21 ล้านปอนด์
อ็องรีแสดงในภาพยนตร์โฆษณาเรโนลต์ คลิโอ เขาได้สร้างคำที่มีชื่อเสียงอย่าง วา-วา-วูม (va-va-voom) ที่มีความหมายว่า "ชีวิต" หรือ "ความหลงใหล" นางแบบในโฆษณานั้นต่อมาเป็นภรรยาของเขา (หย่า) แคลร์เมอร์รี ต่อมาคำว่า วา-วา-วูม ได้รับการบันทึกไว้ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษคอนไซส์ออกซฟอร์ด
ในปี ค.ศ. 2004 อ็องรีเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตเครื่องกีฬาไนกี้ หนึ่งในโฆษณาที่เขาได้เลี้ยงลูกฟุตบอลหลบดาราฟุตบอลคนอื่นอย่าง โกลด มาเกเลเล, เอ็ดการ์ ดาวิดส์ และเฟรดริก ยุงแบร์ (Fredrik Ljungberg) ในสถานที่อย่างเช่นห้องนอนและห้องรับแขก ในโฆษณาชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากชีวิตของเขาเอง ที่เขามักจะเล่นฟุตบอลในสถานที่แบบนั้น อย่างเช่นในบ้าน อ็องรียังเล่นในโฆษณาที่ชื่อ "ซีเครตทัวร์นาเมนต์" (Secret Tournament) ที่มีดาราฟุตบอลอีก 24 คนอย่างเช่น ยุงแบร์, รอนัลดีนโย และฟรันเชสโก ตอตตี ต่อจากนั้นในฟุตบอลโลก 2006 เขาแสดงในโฆษณาที่ใช้ชื่อในภาษาโปรตุเกสว่า Joga Bonito มีความหมายว่า "เกมที่สวยงาม"
หลังฟุตบอลโลก 2006 เขาหมดสัญญากับไนกี้ จากนั้นได้เซ็นสัญญากับรีบ็อก ได้แสดงในโฆษณาที่ชื่อว่า "ไอแอมวอตไอแอม" (I Am What I Am) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์โฆษณาที่ชื่อ "เฟรมด์" (Framed) อ็องรีได้แสดงในตอนนี้ที่มีความยาวครึ่งชั่วโมง ที่แสดงรายละเอียดในการถ่ายทำโฆษณา กำกับโดยนักแสดงชาวสเปน ปัซ เบกา
ในปี ค.ศ. 2011 อ็องรีเปลี่ยนมาเซ็นสัญญากับรองเท้าพูมา เขาสวมรองเท้านี้ครั้งแรกในนัดรวมดาวเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ 2011 ที่แข่งขันกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก่อนที่จะประกาศเซ็นสัญญาหลายปีกับพูมา ส่วนนัดแรกที่เขาใส่พูมาในการเล่นคือในการแข่งขันเอมิเรตส์คัป ที่แข่งกับทีมเก่าอาร์เซนอล
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 อ็องรีได้เป็นหนึ่งใน 3 ของทูตแห่งแบรนด์ของยิลเลตต์ ที่ใช้ชื่อว่า "แชมเปียนส์โปรแกรม" (Champions Program) ที่มีนักกีฬาที่เป็นที่รู้จัก ที่ได้รับความเคารพ และประสบความสำเร็จที่สุดในยุคปัจจุบัน โดยเขาได้แสดงร่วมกับโรเจอร์ เฟเดอเรอร์และไทเกอร์ วูดส์ ในซีรีส์ของภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ แต่ด้วยเหตุผลด้านความเป็นที่รู้จัก จึงได้มีการใช้เดเรก เจเตอร์แทนอ็องรี ในโฆษณาที่ออกอากาศในอเมริกาเหนือ และหลังจากกรณีที่เขาทำแฮนด์บอลในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 ที่ฝรั่งเศสแข่งกับไอร์แลนด์ ยิลเลตต์ได้ยกเลิกและกล่าวขออภัย และได้เปลี่ยนแปลงโปสเตอร์โฆษณาในฝรั่งเศส แต่ต่อมาทางยิลเลตต์ก็ได้ออกมากล่าวสนับสนุนอ็องรี
อ็องรีเป็นส่วนหนึ่งของโฆษณา "แดร์ฟอร์มอร์" (Dare For More) ในปี ค.ศ. 2005 แสดงร่วมโฆษณากับนักฟุตบอลอย่างเดวิด เบคแคมและรอนัลดีนโย